การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง (Palliative
Care)
เนื่องจากในปัจจุบันประชากรไทยมีอายุยืนยาวขึ้น ลักษณะของความเจ็บป่วยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยมีจำนวนผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นทุกปี สาเหตุการตายส่วนใหญ่เปลี่ยนจากโรคติดเชื้อมาเป็นโรคมะเร็งและกลุ่มโรคทางหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจและสมองเสื่อม ผู้ป่วยกลุ่มนี้บางรายอาจจะป่วยอยู่ในระยะที่ยังพอรักษาได้ แต่บางรายอาจจะป่วยหนักจนกระทั่งความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันไม่สามารถยื้อความตายออกไปได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ถูกมักถูกมองว่าเป็น "ผู้ป่วยที่หมดหวัง" ที่ไม่มีวิธีการรักษาใดๆเพิ่มเติม ทั้งที่ยังมีอีกหลายวิธีที่บุคลากรสายสุขภาพสามารถทำได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วย และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ในคำภาษาไทย อาจเรียกชื่อ Palliative Care ได้หลายอย่าง เช่น การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองหรือแบบประคับประคอง หรือการดูแลเพื่อบรรเทาอาการ วิถีแห่งการคลายทุกข์(1) อย่างไรก็ตาม คำในภาษาไทยทั้งหมดยังไม่สามารถอธิบายหลักการของ Palliative Care ได้อย่างครอบคลุมครบถ้วน ในบทความนี้จึงขอใช้คำว่า Palliative Care แทนคำแปลภาษาไทย
Palliative Care คืออะไร
ในปีพ.ศ. 2533 องค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความของ Palliative Care ว่าเป็น "วิธีการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย โดยให้การป้องกันและบรรเทาอาการตลอดจนความทุกข์ทรมานด้านต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นการดูแลเป็นแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพอันได้แก่ กาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณของผู้ป่วย" มีเป้าหมายหลักของการดูแลเพื่อลดความทรมานของผู้ป่วย เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว และทำให้ผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างสงบหรือ "ตายดี"(2)
ปัจจุบันทางองค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความใหม่ของ Palliative Care ไว้ว่าเป็น "วิธีการดูแลที่เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคที่คุกคามต่อชีวิต โดยให้การป้องกันและบรรเทาความทุกข์ทรมานต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยและครอบครัว ด้วยการเข้าไปดูแลปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะแรกๆของโรค รวมทั้งทำการประเมินปัญหาสุขภาพทั้งทางด้าน กาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณอย่างละเอียดครบถ้วน"(3)
การดูแลแบบ Palliative Care ไม่ได้เป็นการเร่งหรือช่วยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วกว่าการดำเนินโรคเองตามธรรมชาติ และไม่ใช่การใช้เครื่องมือหรือความรู้ทางการแพทย์เพียงเพื่อยื้อความทรมานของผู้ป่วย โดยไม่เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย(3) การยื้อชีวิตของผู้ป่วยอาจจะทำในกรณีเดียวเท่านั้น คือ เป็นความต้องการของผู้ป่วยเอง เช่น ต้องการรอใครบางคนให้ทันกลับมาเจอกันในช่วงสุดท้ายของชีวิต หรือไม่ต้องการเสียชีวิตในช่วงที่เป็นงานมงคลของคนในครอบครัว เป็นต้น
หลักการอื่นๆที่สำคัญของ Palliative Care ได้แก่
- ยอมรับ "การเสียชีวิต" ว่าเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของชีวิต
- ให้ความสำคัญกับการดูแลทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณของผู้ป่วย ควบคู่ไปกับการดูแลอาการทางกายเสมอ
- ให้ความเคารพสิทธิของผู้ป่วยและครอบครัวในการรับทราบข้อมูลการเจ็บป่วย และให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมตัดสินใจเรื่องแนวทางและเป้าหมายของการดูแล
- การดูแลควรให้ความสำคัญต่อค่านิยม ความเชื่อ และศาสนาของผู้ป่วยและครอบครัว
- มีระบบการดูแลที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยและครอบครัวอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิตตลอดจนให้การดูแลภาวะเศร้าโศกของครอบครัว ภายหลังจากที่ผู้ป่วยได้เสียชีวิตไปแล้ว
- การดูแลควรทำในลักษณะของทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้ทีมที่ดูแลสามารถดูแลปัญหาสุขภาพด้านต่างๆของผู้ป่วยและครอบครัวได้ดีที่สุด
- สามารถทำควบคู่ไปพร้อมๆกับการรักษาอื่นๆ เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด ตั้งแต่ระยะแรกๆของโรค เพื่อลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยและทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวเผชิญหน้ากับการเจ็บป่วยได้ดีขึ้น
ใครบ้างที่ต้องการการดูแลแบบ Palliative Care
เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หายหรือป่วยในระยะสุดท้าย ย่อมมีผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ป่วยเองและสมาชิกที่เหลือในครอบครัวในหลายๆด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ หากผู้ป่วยเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก ก็อาจจะมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการเงินของครอบครัวด้วย การให้สิทธิผู้ป่วยและครอบครัวในการรับทราบข้อมูลการเจ็บป่วย และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องแนวทางและเป้าหมายของการดูแล โดยให้ความเคารพในความแตกต่างของความเชื่อ ค่านิยม และศาสนาของผู้ป่วยแต่ละรายและครอบครัว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างมีศักดิ์ศรี และครอบครัวรู้สึกว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย
การดูแลแบบ Palliative Care จึงไม่ได้เป็นการดูแลเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลบุคคลอื่นๆในครอบครัวด้วย ในบางกรณีผู้ดูแลหลักอาจไม่ใช่สมาชิกครอบครัว โดยอาจเป็นเพื่อนสนิท คนรู้จัก หรือคนที่จ้างมาดูแลแทน ในกรณีดังกล่าว มีความจำเป็นที่ทีมดูแลต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้ดูแลด้วย เพราะเป็นผู้ที่ได้เห็นประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยจนกระทั่งเสียชีวิต ปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยของผู้ดูแลหลัก ได้แก่ รู้สึกเหนื่อยจากการดูแลมากเกินไป หรือรู้สึกเศร้าโศกหลังจากที่ผู้ป่วยเสียชีวิตไป
การดูแลแบบ Palliative care ควรเริ่มเมื่อใด
การดูแลแบบ Palliative Care สำหรับผู้ป่วยและครอบครัว ควรเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่แรกที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย จนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต ส่วนการดูแลครอบครัวและผู้ดูแล จะครอบคลุมไปจนถึงระยะเวลาหลังจากผู้ป่วยเสียชีวิต ที่สำคัญ การดูแลแบบ Palliative Care ควรมีลักษณะ "active" หรือ "เชิงรุก" คือ สามารถปรับเปลี่ยนแผนการดูแลได้ตามการเปลี่ยนแปลงของปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของการดำเนินโรค
Palliative care สามารถทำได้ที่ไหน
การดูแลแบบ Palliative Care สามารถทำได้ทั้งที่สถานพยาบาลและในส่วนของชุมชน สถานพยาบาลอาจจะเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิหรือโรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลในระดับทุติยภูมิหรือตติยภูมิ ในระดับของชุมชน อาจจะประกอบไปด้วยทีมเยี่ยมบ้านของหน่วยบริการสุขภาพในชุมชน หน่วยงานภาคประชาชน หรือองค์กรอิสระต่างๆที่ทำงานดูแลผู้ป่วย Palliative Care ตลอดจนแหล่งทรัพยากรสุขภาพในชุมชน ที่สามารถเข้ามาช่วยดูแลผู้ป่วยและครอบครัวในมิติต่างๆของ Palliative Care เช่น วัด เป็นต้น ที่สำคัญคือ ในแต่ละส่วนของการดูแล ทั้งในสถานพยาบาลหรือในชุมชน ควรมีการประสานงานร่วมกัน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวก (Accessibility) มีการดูแลแบบเป็นองค์รวม (Holistic care) โดยทีมสหวิชาชีพ (Team approach) และมีความต่อเนื่องในการดูแล (Continuity of care) ทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล
เพื่อการเตรียมตัวจากไปอย่างสงบ
มนุษย์ ทุกชีวิต ล้วนมีวันก่อเกิดและเวลาพลัดพรากเป็นธรรมดา แต่ที่ต่างคือ เราไม่อาจเลือกเกิดได้ ขณะที่เราอาจเลือกได้ว่าจะตายอย่างไร และด้วยสภาวะจิตอย่างไร การตายที่เลือกได้ในที่นี้ไม่ใช่การฆ่าตัวตายและก็ไม่ใช่ “การุณยฆาต” (mercy killing) คือเร่งให้ตายเพื่อหนีความทุกข์ทรมาน
การตายที่เลือกได้ในที่นี้ มาจาก ความปรารถนาภายในใจเจ้าของเรือนร่างผู้ใกล้จาก ไป ซึ่ง ต้องการ กำหนดชะตากรรมในวาระสุดท้ายของตนเองให้เป็นไปตามวาระกรรมของ ธรรมชาติ ปราศจากการยื้อหรือเร่งการตายเพื่อการเตรียมตัวจากไปอย่างสงบ มนุษย์ ทุกชีวิต ล้วนมีวันก่อเกิดและเวลาพลัดพรากเป็นธรรมดา แต่ที่ต่างคือ เราไม่อาจเลือกเกิดได้ ขณะที่เราอาจเลือกได้ว่าจะตายอย่างไร และด้วยสภาวะจิตอย่างไร
มนุษย์ ทุกชีวิต ล้วนมีวันก่อเกิดและเวลาพลัดพรากเป็นธรรมดา แต่ที่ต่างคือ เราไม่อาจเลือกเกิดได้ ขณะที่เราอาจเลือกได้ว่าจะตายอย่างไร และด้วยสภาวะจิตอย่างไร การตายที่เลือกได้ในที่นี้ไม่ใช่การฆ่าตัวตายและก็ไม่ใช่ “การุณยฆาต” (mercy killing) คือเร่งให้ตายเพื่อหนีความทุกข์ทรมาน
การตายที่เลือกได้ในที่นี้ มาจาก ความปรารถนาภายในใจเจ้าของเรือนร่างผู้ใกล้จาก ไป ซึ่ง ต้องการ กำหนดชะตากรรมในวาระสุดท้ายของตนเองให้เป็นไปตามวาระกรรมของ ธรรมชาติ ปราศจากการยื้อหรือเร่งการตายเพื่อการเตรียมตัวจากไปอย่างสงบ มนุษย์ ทุกชีวิต ล้วนมีวันก่อเกิดและเวลาพลัดพรากเป็นธรรมดา แต่ที่ต่างคือ เราไม่อาจเลือกเกิดได้ ขณะที่เราอาจเลือกได้ว่าจะตายอย่างไร และด้วยสภาวะจิตอย่างไร